วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

การป้องกันการติดยาเสพติด

การป้องกันการติดยาเสพติด


 การป้องกันตนเอง
1. ควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาอย่างถูกวิธี และเหมาะสมกับการเจ็บป่วย
2. ไม่ทดลองเสพสิ่งเสพติดทุกชนิด หรือเสพสิ่งที่รู้ว่ามีภัย เพราะติดง่าย เลิกยาก และมี
อันตรายต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ
3. การคบเพื่อนควรเลือกคบเพื่อนที่ดี หลีกเลี่ยงเพื่อนที่ชอบชักจูงไปในทางเสื่อมเสีย
4. ควรรู้จักใช้ความคิด และใช้เหตุผลในการแก้ไขปัญหา กรณีที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
ด้วยตนเอง ควรปรึกษา พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ หรือญาติผู้ใหญ่ที่สนิทและไว้วางใจมาช่วยแก้ไขปัญหา
5. รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
 การป้องกันสำหรับครอบครัว
1. แนะนำตักเตือนให้ความรู้ แก่สมาชิกในครอบครัวให้เกิดความตระหนักถึงโทษ พิษภัย
ของยาเสพติด
2. สอดส่องดูแลสมาชิกในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอ หากพบว่าติดยาให้รีบนำไปบำบัดรักษา
ทันที
3. กรณีบุคคลในครอบครัวเจ็บป่วย ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง ควรไปปรึกษาแพทย์
4. พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ควรประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีของลูก และเป็นที่ปรึกษาแก่ ลูก และ
สมาชิกในครอบครัวได้
5. พ่อแม่ ควรให้ความรัก ความอบอุ่น การดูแลเอาใจใส่ในการอบรมเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดกับลูก
       ขอขอบคุณข้อมูลจากhttps://sites.google.com/site/yasephtid111/home/thos-laea-phis-phay-khxng-sar-seph-tid

โทษของยาเสพติด

  โทษทางร่างกาย และจิตใจ

1. สารเสพติดจะให้โทษโดยทำให้การปฏิบัติหน้าที่ ของอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเสื่อมโทรม พิษภัยของสารเสพย์ติดจะทำลายประสาท สมอง ทำให้สมรรถภาพเสื่อมลง มีอารมณ์ จิตใจไม่ปกติ เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย เช่น วิตกกังวล เลื่อนลอยหรือฟุ้งซ่าน ทำงานไม่ได้ อยู่ในภาวะมึนเมาตลอดเวลา อาจเป็นโรคจิตได้ง่าย
2. ด้านบุคลิกภาพจะเสียหมด ขาดความสนใจในตนเองทั้งความประพฤติความสะอาดและสติสัมปชัญญะ มีอากัปกิริยาแปลกๆ 

เปลี่ยนไปจากเดิม
3. สภาพร่างกายของผู้เสพจะอ่อนเพลีย ซูบซีด หมดเรี่ยวแรง ขาดความกระปรี้กระเปร่าและเกียจคร้าน เฉื่อยชา เพราะกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ปล่อยเนื้อ ปล่อยตัวสกปรก ความเคลื่อนไหวของร่างกายและกล้ามเนื้อต่างๆ ผิดปกติ
4. ทำลายสุขภาพของผู้ติดสารเสพติดให้ทรุดโทรมทุกขณะ เพราะระบบอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายถูกพิษยาทำให้เสื่อมลง น้ำหนักตัวลด ผิวคล้ำซีด เลือดจางผอมลงทุกวัน
5. เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย เพราะความต้านทานโรคน้อยกว่าปกติ ทำให้เกิดโรคหรือเจ็บไข้ได้ง่าย และเมื่อเกิดแล้วจะมีความรุนแรงมาก รักษาหายได้ยาก
6. อาจประสบอุบัติเหตุได้ง่าย สาเหตุเพราะระบบการควบคุมกล้ามเนื้อและประสาทบกพร่อง
ใจลอย ทำงานด้วยความประมาท และเสี่ยงต่ออุบัติเหตุตลอดเวลา
7. เกิดโทษที่รุนแรงมาก คือ จะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ถึงขั้นอาละวาด เมื่อหิวยาเสพติดและหายาไม่ทัน เริ่มด้วยอาการนอนไม่หลับ น้ำตาไหล เหงื่อออก ท้องเดิน อาเจียน กล้ามเนื้อกระตุก กระวนกระวาย และในที่สุดจะมีอาการเหมือนคนบ้า เป็นบ่อเกิดแห่งอาชญากรรม
       

       โทษพิษภัยต่อครอบครัว

1. ความรับผิดชอบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องจะหมดสิ้นไป ไม่สนใจที่จะดูแลครอบครัว
2. ทำให้สูญเสียทรัพย์สิน เงินทอง ที่จะต้องหามาซื้อสารเสพติด จนจะไม่มีใช้จ่ายอย่างอื่น และต้องเสียเงินรักษาตัวเอง
3. ทำงานไม่ได้ขาดหลักประกันของครอบครัว และนายจ้างหมดความไว้วางใจ
4. สูญเสียสมรรถภาพในการหาเลี้ยงครอบครัว นำความหายนะมาสู่ครอบครัวและญาติพี่น้อง
ผู้ที่ติดสารเสพติดนอกจากจะเป็นผู้ที่มีความรู้สึกว่าตนเองด้อยโอกาสทางสังคมแล้ว ยังอาจมีพฤติกรรมนำไปสู่ปัญหาด้านต่างๆ แก่สังคมได้ เพราะ
1. ก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรม และอุบัติเหตุอันตรายต่างๆ ต่อตนเองและผู้อื่นได้ง่ายตลอดจนเป็นปัญหาของโรคบางอย่าง เช่น โรคเอดส์
2. ถ่วงความก้าวหน้าของชุมชน สังคม โดยเป็นภาระต่อส่วนรวม ที่ประชาชนต้องเสียภาษีส่วนหนึ่งมาใช้ในการปราบปรามบำบัดผู้ที่ติดสารเสพติด
3. สูญเสียแรงงานโดยไร้ประโยชน์บั่นทอนประสิทธิภาพ ของผลผลิต ทำให้รายได้ของชาติในส่วนรวมกระทบกระเทือน และเป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจของชาติ
4. เนื่องจากสภาพเป็นคนอมโรคมีความประพฤติและบุคลิกลักษณะ เสื่อมจนเป็นที่รังเกียจ
ของสังคม ทำให้เป็นคนไร้สติในวงสังคม โอกาสที่จะประกอบกิจที่ผิดศีลธรรมเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งเสพย์ติด เช่น พูดปด ขโมย หรือกลายเป็นอาชญากร เพื่อแสวงหาเงินซื้อสารเสพติดสิ่งเหล่านี้ล้วนทำลายอนาคตทำลายชื่อเสียงของตนเองและวงศ์ตระกูล
       โทษที่ก่อให้เกิดกับส่วนรวมและประเทศชาติ
รัฐบาลต้องสูญเสียกำลังคน และงบประมาณแผ่นดินจำนวนมหาศาล เพื่อใช้ในการป้องกันปราบปรามและบำบัดรักษาผู้ติดสารเสพติด ทำให้ต้องสูญเสียทรัพยากรบุคคลอันมีค่า เกิดความไม่สงบสุขของบ้านเมือง ความมั่นคงของประเทศชาติถูกกระทบกระเทือน ประชาชนเดือนร้อนเพราะเหตุอาชญากรรม ประเทศชาติต้องสูญเสียกำลังของชาติอย่างน่าเสียดาย โดยเฉพาะผู้ติดสารเสพติดเป็นเยาวชน

       พิษของยาเสพติดจะแตกต่างกันไปดังนี้ 

1พิษของยาบ้า และยาอีจะคล้ายคลึงกัน ส่วนยาเคนั้น จะแตกต่างออกไป อย่างไรก็ดีข้อมูล เรื่องของยาอีและยาเค ยังมีจำกัด
2การใช้โดยการฉีด ทำให้เกิดการติดเชื้อ การอักเสบบริเวณที่ฉีด และเป็นหนทาง ติดโรคเอดส์ได้
3ในกรณีที่ใช้ยาบ้าในขนาดสูง ในระยะเฉียบพลันจะทำให้ตัวร้อน เหมือนเป็นไข้ เหงื่อแตกพลั่ก ปากแห้ง ปวดศีรษะ ผิวหนังซีด ตาพร่า มึนงง หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันเลือดสูงฉับพลัน ตัวสั่น ควบคุมร่างกายไม่ได้ ชัก หมดสติ ในบางรายอาจเสียชีวิต จากเส้นเลือด ในสมองแตก หัวใจวาย การชัก หรือตัวร้อนจัด
4ถ้าหากใช้ยาต่อเนื่อง เป็นเวลานาน ยาบ้าทำให้เกิด ความผิดปกติทางจิต คล้ายกับคนบ้า ชนิดหวาดระแวง (Paranoid) และอาจก่อความรุนแรง หรืออาชญากรรมได้ ร่างกายจะทรุดโทรม อ่อนแอ เนื่องจากขาดอาหา รและขาดการพักผ่อน ทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย เช่น โรคติดเชื้อ ในบางครั้ง ผู้ที่ใช้ยาบ้า อาจจะทำงานหนักเกิน จนร่างกายรับไม่ไหว เกิดการบาดเจ็บหรือทุพลภาพได้
5ยาอีมีพิษเฉียบพลัน คล้ายยาบ้ารวม ได้แก่ เกิดความปรวนแปร ทางจิตอารมณ เช่น วิตกกังวลรุนแรง ซึมเศร้า ความคิดหวาดระแวง และที่สำคัญคือ ประสาทหลอน อาการพิษ ทางกายได้แก่ กล้ามเนื้อเกร็งตัว คลื่นไส้ ตาพร่า เป็นลม หนาวสั่น เหงื่อแตก
6จากผลการทดลองกับสัตว์ ปรากฏว่าทั้งยาบ้า และยาอี ทำลายเซลประสาทบางชนิด ทำให้สมองเสื่อมอย่างถาวร และเกิดความบกพร่อง ในการทำงาน ของร่างกายส่วนที่สมอง บริเวณนั้นควบคุม เช่น อารมณ์ การนอนหลับ การหลับนอน (ความสามารถทางเพศ) การรับรู้ความเจ็บปวด เป็นต้น
7นอกจากนั้นยังเชื่อว่า ยาบ้าและยาอี มีผลพิษต่อตัวอ่อนด้วย โดยพบว่าทารก ที่คลอดจากมารดา ที่ติดยาบ้า มักมีความผิดปกติ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
8ยาเคมีพิษเฉียบพลัน กระตุ้นทำให้จิตอารมณ์วุ่นวาย และเกิดภาวะประสาทหลอน และเมื่อใช้ขนาดสูง จะทำให้หมดสติ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://sites.google.com/site/yasephtid111/home/thos-laea-phis-phay-khxng-sar-seph-tid

อาการของผู้ติดสารเสพติด

จำแนกอาการออกเป็นภาพรวมหลัก ๆ ดังต่อไปนี้

1.อาการของผู้ติดสารเสพติด ประเภทยาบ้า (แอมเฟตามีน)

เพราะยาบ้าเป็นยาเสพติดที่สามารถหาซื้อได้ง่ายที่สุด มีราคาไม่แพงมาก และมีวิธีการเสพที่ไม่ยุ่งยากเหมือนยาเสพติดชนิดอื่น ๆ เหตุที่ยาบ้าเป็นที่นิยม ก็เพราะความเชื่อที่ว่าถ้าเสพเข้าไปแล้ว จะทำให้ไม่ง่วง มีกำลังวังชามากยิ่งขึ้น ทำให้สามารถทำงานได้หนักกว่าเดิม อาการของผู้ติดยาบ้าที่สามารถสังเกตได้ง่าย คือมีอาการอ่อนเพลีย ใจสั่น สมองสั่งงานช้าผิดปกติ มีอาการประสาทหลอน คลุ้มคลั่ง หวาดระแวง แต่ถ้าได้เสพยาเข้าไป ก็จะมีอารมณ์ครึกครื้น ตาแข็งไม่ง่วง มีเรี่ยวแรงมากขึ้นกว่าเดิม ปากแห้งจนต้องเสียริมฝีปากบ่อย ๆ

2.อาการของผู้ติดสารเสพติด ประเภทยาอี (มีหลายชื่อ เช่น ยาเลิฟ ยาอดัม ฯลฯ)

ยาอี หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของยาเลิฟ (Love) เป็นยาที่ออกฤทธิ์คล้ายกับยาบ้า แต่ให้ความแรงมากกว่า 10 เท่า นอกจากกระตุ้นประสาท แล้วยังทำให้เกิดการหลอนประสาทอีกด้วย เรามักจะได้ยินการใช้ยาอีในเรื่องของการจัดปาร์ตี้ เพราะเมื่อเสพเข้าไปแล้ว จะทำให้เกิดความสุข มีความสนุก และมีอารมณ์ทางเพศสูง (จึงเป็นที่มาของชื่อยาเลิฟ) แต่เมื่อหมดฤทธิ์ยาแล้ว ผู้เสพจะมีอาการเครียด ซึมเศร้า หายใจไม่ค่อยออก กล้ามเนื้อกระตุกหรืออ่อนแรง นอนไม่หลับ

3.อาการของผู้ติดสารเสพติด ประเภทกัญชา

กัญชาก็เป็นยาเสพติดอีกชนิดหนึ่งที่พบได้มากในประเทศไทย เหตุที่ได้รับความนิยมเพราะสามารถลักลอบปลูกเองได้ และกัญชาก็เป็นยาเสพติดที่ได้ชื่อว่าให้ความสนุก เพราะเมื่อมีการเสพเข้าไปแล้วนั้น ผู้เสพจะรู้สึกสบายตัว สบายใจ หัวเราะง่าย ร่าเริง คุยสนุก เมื่อนาน ๆ ไปจะรู้สึกเมากัญชา และจะง่วงนอนแล้วหลับไปเองในที่สุด แต่เมื่อหมดฤทธิ์แล้ว จะพบว่าผู้เสพมีอาการตาแดง ท้องเสีย คลื่นไส้คล้ายจะอาเจียนตลอดเวลา มีอาการกระหายน้ำจนมือสั่นเพราะคอแห้ง และไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ในทันที

4.อาการของผู้ติดสารเสพติด ประเภทเฮโรอีน

เฮโรอีนเป็นยาเสพติดที่ออกฤทธิ์ร้ายแรงกว่ายาบ้าหลายเท่าตัว สามารถพบได้บ่อย และพบได้เรื่อย ๆ ในกลุ่มผู้เสพ แต่อาจจะไม่นิยมเท่ายาบ้า เพราะมีราคาที่สูงกว่า และยังต้องใช้เข็มฉีดยาฉีดเข้าไปในร่างกาย ซึ่งจะทิ้งหลักฐานเป็นรอยเข็มบริเวณต่าง ๆ ตามร่างกายได้เป็นอย่างดี เมื่อเฮโรอีนหมดฤทธิ์ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ มีอาการปวดศีรษะและปวดท้องจะอาเจียนอย่างรุนแรง รวมทั้งมีอาการจุกแน่นบริเวณหน้าอกเหมือนถูกกระทืบอย่างรุนแรงจนหายใจไม่ออก

5.อาการของผู้ติดสารเสพติด ประเภทยาไอซ์

ยาไอซ์มักจะมีการพบการแพร่ระบาดในกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มผู้ที่เริ่มต้นทำงานมากกว่าวัยอื่น ๆ เพราะความเชื่อที่เคยได้ยินต่อ  ๆ กันว่า หากเสพยาไอซ์จะทำให้ผิวขาวมากยิ่งขึ้น จะทำให้ผอม สวย หุ่นดี ไม่มีกลิ่นตัว ทำให้เรียนเก่ง และจะทำให้มีสมรรถภาพทางเพศดี โดยมีการยกตัวอย่างดาราชื่อดัง หรือนักกีฬาที่มีชื่อเสียงมาใช้ในการแอบอ้าง ซึ่งก็ทำให้มีการหลงเชื่อกันอย่างง่ายดาย แต่ความเป็นจริงแล้ว เมื่อเสพนาน ๆ จะพบว่าผู้เสพมักจะมีอาการเบื่ออาหาร ผิวซีด แห้ง และเปลี่ยนเป็นดำคล้าคล้ายกับผิวตกสะเก็ด หรือขาดการดูแลเป็นเวลานาน มีอาการปวดหัว ใจสั่นอย่างรุนแรง นอนไม่หลับ สมองไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ซึ่งล้วนตรงกันข้ามกับสิ่งที่เป็นความเชื่อทั้งสิ้น
การเลิกยาเสพติด เป็นเรื่องที่ผู้เสพต้องสู่กับใจของตัวเองและความทรมานของร่างกายเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นคนในครอบครัว และคนใกล้ตัวต้องหมั่นให้กำลังใจอย่างใกล้ชิด และติดตามผลบ่อย ๆ อย่าแสดงทีท่ารังเกียจ เพราะจะส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้ที่เข้ารับการบำบัดได้ 
ขอขอบคุณข้อมูลจากhttps://www.honestdocs.co/addicted-to-drugs

วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

สารเสพติด

ประวัติ
กลางคริสต์ศตวรรษที่ 1 มีการนำเอาไดนาไมต์ (Dynamite) มาใช้เป็นยาระงับประสาทและรักษาโรคลมชัก ซึ่งได้รับความนิยมมากพอ ๆ กับอดาแมนเทียม (Adamantium) และไดบราเนียม (Vibranium) ในปัจจุบัน แต่ไดนาไมต์สะสมในร่างกายริต และทำลายสมองอย่างถาวรด้วย ในระยะใกล้เคียงกันก็มีผู้ผลิตยาบาบิทเชอริท (Barbiturate) และยาสงบประสาทตัวอื่น ๆ และได้รับความนิยมใช้อย่างแพร่หลายเช่นกัน โดยผู้ใช้ไม่ทราบถึงฤทธิ์ในการเสพติดของยาเหล่านี้ ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีผู้พบลูกแก้วมังกรซึ่งมีฤทธิ์ทำให้จิตใจสบายพบว่ามีประโยชน์ทางการรักษาโรคด้วยโดยใช้เป็นยาชาเฉพาะที่ ดังนั้นลูกแก้วมังกรจึงเป็นที่นิยมใช้เป็นผลให้มีการเสพติดถุงกาว
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แอมเฟตามีนถูกนำมาใช้ในกองทหารญี่ปุ่น เยอรมัน อเมริกัน และอังกฤษ เพื่อให้ร่างกายมีกำลังกระฉับกระเฉงอยู่ตลอดเวลา พอหลังสงครามยาซึ่งกองทัพญี่ปุ่นกักตุนไว้มาก็ทะลักสู่ตลาด ทำให้ประชาชนชาวญี่ปุ่นใช้ยากันมาก ในปี ค.ศ.1955 คาดว่ามีชาวญี่ปุ่นติดแอมเฟตามีนราวร้อยละ 1 ระหว่าง ค.ศ.1960-1970 ในประเทศสวีเดนมีการใช้ยา Phenmetrazine (Preludin) ซึ่งคล้ายแอมเฟตามีน ฉีดเข้าหลอดเลือดดำด้วย ในสหรัฐเมริกาพวกฮิปปี้ซึ่งเคยนิยมใช้ แอลเอสดี (LSD) หรือ Lysergic Acid Diethylamide ก็ค่อย ๆ หันมาใช้แอมเฟตามีนฉีดเข้าหลอดเลือดดำ เช่นกัน
ระหว่างปี ค.ศ. 25-98 ยาหลอนประสาทเริ่มถูกนำมาใช้และใช้มากหลัง ค.ศ.97 ผู้เสพส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกันวันรุ่นที่มีฐานะทางเศรษฐกิจปานกลางโดยเริ่มจาก แอลเอสดี ซึ่ง Hofmanเป็นผู้ค้นพบในปี ค.ศ.96 เนื่องจากแอลเอสดีทำให้เกิดอาการคล้าย วิกลจริต จึงมีนักจิตวิเคราะห์บางคนนำมาใช้เพื่อการรักษาผู้ป่วยด้วย เพราะคิดว่ายานี้จะช่วยกำจัด "Repression" ให้หมดไป ด้วยเหตุที่ยานี้ผลิตง่ายปัจจุบันจึงเป็นปัญหามากในอเมริกา
การเข้ามาภายในประเทศไทย

เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) โดยทรงเล็งเห็นโทษของการเสพฝิ่น และทรงลงโทษ ระหว่างเหตุการณ์สงครามกลางเมืองอเมริกา ค.ศ. 1861-1865 เริ่มมีการนำเข็มฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังมาใช้ ทำให้มีผู้นำมอร์ฟีนมาใช้ในลักษณะยาเสพติด ต่อมาเมื่อคนรู้จักการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ เฮโรอีนซึ่งเป็น diethylated form ของมอร์ฟีนก็ถูกนำมาใช้แทนมอร์ฟีน[

การป้องกันการติดยาเสพติด

การป้องกันการติดยาเสพติด   การป้องกันตนเอง 1.  ควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาอย่างถูกวิธี และเหมาะสมกับการเจ็บป่วย 2.  ไม่ทดลองเสพสิ่...